วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรื่องสิขีพุทธวงศ์

สิขีพุทธวงศ์ที่ ๒๐
ว่าด้วยพระประวัติพระสิขีพุทธเจ้า
             [๒๑] สมัยต่อมาจากพระวิปัสสีสัมพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่า                           สัตว์ ผู้ไม่มีบุคคลเปรียบเสมอ มีพระนามว่าสิขี ทรงย่ำยีมารและ                           เสนามารแล้ว ทรงบรรลุสัมโพธิญาณอันอุดม ทรงประกาศพระ-                           ธรรมจักร เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลาย เมื่อพระสิขีชินเจ้าผู้                           ประเสริฐ ทรงประกาศพระธรรมจักร ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่                           สัตว์แสนโกฏิ เมื่อพระองค์ผู้ประเสริฐกว่าหมู่คณะ สูงสุดกว่า                           นรชน ทรงแสดงธรรมอีก ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่น                           โกฏิ เมื่อพระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในโลกพร้อมด้วยเทวโลก                           ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ แม้พระสิขี                           บรมศาสดา ก็ทรงมีการประชุมพระภิกษุขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน                           มีจิตสงบระงับผู้คงที่ ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๑ พระภิกษุขีณาสพมาประชุม                           กันหนึ่งแสน ครั้งที่ ๒ แปดหมื่น ครั้งที่ ๓ เจ็ดหมื่น เปรียบ                           เหมือนดอกปทุมอันเจริญในน้ำ น้ำเลี้ยงไว้ ฉะนั้น สมัยนั้นเราเป็น                           กษัตริย์พระนามว่าอรินทมะ ได้ถวายข้าวและน้ำให้พระสงฆ์ มีพระ                           พุทธเจ้าเป็นประธานฉันจนเพียงพอ ได้ถวายผ้าอย่างดีมากมายหลาย                           โกฏิผืน ได้ถวายยานช้างอันประดับแล้ว แก่พระสัมพุทธเจ้า เรา                           ได้สร้างยานช้างให้เป็นของควรแก่สมณะแล้วนำเข้าไปถวาย เรายัง                           ฉันทะของเราซึ่งตั้งไว้มั่นเป็นนิตย์ให้เต็ม แม้พระพุทธสิขีผู้เป็น                           นายกชั้นเลิศของโลก พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์เราว่า ในกัปที่ ๓๑                           แต่กัปนี้ ผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ........... ข้ามแม่น้ำใหญ่                           ฉะนั้นเราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แม้นั้นแล้ว ยังจิตให้เลื่อมใส                           อย่างยิ่ง ได้อธิษฐานวัตรในการบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้ยิ่งขึ้น                           ไป พระนครชื่อว่าอรุณวดี พระบรมกษัตริย์พระนามว่าอรุณ เป็น                           พระชนกของพระสีขีบรมศาสดา พระนางประภาวดีเป็นพระชนนี                           พระองค์ทรงครอบครองอาคารสถานอยู่เจ็ดพันปี ทรงมีปราสาทอัน                           ประเสริฐ ๓ ปราสาท ชื่อสุวัฑฒกะ คิริ และนารีวาหนะ ทรงมี
                          พระสนมนารีกำนัลในสองหมื่นสี่พันนาง ล้วนประดับประดาสวย                           งาม พระมเหสีพระนามว่าสรรพกามา พระราชโอรสพระนามว่า                           อตุละ พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงเสด็จออกผนวชด้วย                           คชสารยานพระที่นั่งต้น ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม พระสิขี                           มหาวีรเจ้าผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลกอุดมกว่านรชน อันพรหมทูล                           อาราธนาแล้วทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มฤคทายวัน ทรงมีพระ-                           อภิภูเถระ และพระสัมภวเถระเป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่า                           เขมังกรเป็นพระพุทธอุปัฏฐาก พระมขีลาเถรีและพระปทุมาเถรีเป็น                           พระอัครสาวิกา ไม้โพธิพฤกษ์ของพระองค์ เรียกกันว่า บุณฑริก                           [ไม้กุ่มบก] สิริวัฑฒอุบาสกและนันทอุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก                           จิตราอุบาสิกาและสูจิตราอุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา พระพุทธเจ้า                           พระองค์นั้น มีพระองค์สูง ๗๐ ศอก มีพระรัศมีเปล่งปลั่งดังทองคำ                           ล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ พระรัศมี ของพระองค์                           ซ่านออกไปจากพระวรกายด้านละวาเนืองนิตย์ พระรัศมีนั้นเปล่ง                           ออกไปยังทิศน้อยทิศใหญ่ ๓ โยชน์ พระองค์มีชนมายุเจ็ดหมื่นปี                           ทรงดำรงอยู่เท่านั้น ทรงช่วยให้ประชุมชนข้ามพ้นวัฏสงสารได้มาก                           มาย พระองค์ทรงยังฝนคือธรรมให้ตก ยังมนุษย์พร้อมทั้งเทวดาให้                           ชุ่มชื่น ให้บรรลุความเกษมแล้ว เสร็จนิพพานพร้อมด้วยพระสาวก                           พระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ อันสมบูรณ์ด้วยอนุพยัญชนะ                           หายไปหมดสิ้นแล้ว สังขารทั้งปวงว่างเปล่าหนอ พระพุทธสิขีมุนี                           ผู้ประเสริฐ เสด็จนิพพาน ณ อัสสาราม พระสถูปอันประเสริฐ                           ของพระองค์สูง ๓ โยชน์ ประดิษฐานอยู่ ณ อัสสารามนั้น ฉะนี้แล.
จบสิขีพุทธวงศ์ที่ ๒๐

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น