วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เรื่องสสปัณฑิตจริยา

สสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐
ว่าด้วยจริยาวัตรของสสบัณฑิต
             [๑๐] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นกระต่ายเที่ยวอยู่ในป่า มีหญ้า                           ใบไม้ ผักและผลไม้เป็นภักษา เว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น ใน                           กาลนั้น ลิง สุนัขจิ้งจอก ลูกนาค และเราเป็นสหายอยู่ร่วมกัน                           มาพบกันทั้งเวลาเย็นเวลาเช้า เราสั่งสอนสหายเหล่านั้นในกุศล-                           ธรรมและอกุศลธรรมว่าท่านทั้งหลาย จงเว้นบาปกรรมเสีย จงตั้งอยู่                           ในกรรมอันงาม เราเห็นพระจันทร์เต็มดวงในวันอุโบสถ จึงบอก                           แก่สหายเหล่านั้นว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ ท่านทั้งหลายจงตระ-                           เตรียมทานทั้งหลายเพื่อให้แก่ทักขิไณยยบุคคล ครั้นให้ทานแก่ทักขิ                           ไณยยบุคคลแล้ว จงรักษาอุโบสถ สหายเหล่านั้นรับคำของเราว่า                           สาธุ แล้วได้ตระเตรียมทานต่างๆ ตามสติกำลัง แล้วแสวงหา                           ทักขิไณยยบุคคล เรานอนคิดถึงทานอันสมควรแก่ทักขิไณยยบุคคล                           ว่า ถ้าเราพึงได้ทักขิไณยยบุคคล เราจักให้อะไรเป็นทาน งา ถั่วเขียว                           ถั่วเหลือง ข้าวสาร และเปรียง ของเราไม่มี เราเลี้ยงชีวิตด้วยหญ้า                           ถ้าทักขิไณยยบุคคลมาสักท่านหนึ่ง เพื่อขอในสำนักของเรา เราพึง                           ให้ตนของตน ทักขิไณยยบุคคลจักไม่ไปเปล่า ท้าวสักกะทรงทราบ                           ความดำริของเราแล้ว แปลงเพศเป็นพราหมณ์เสด็จเข้ามายังสำนัก                           ของเรา เพื่อทรงทดลองทานของเรา เราเห็นพราหมณ์นั้นแล้วก็ยิน                           ดี ได้กล่าวคำนี้ว่าท่านมาถึงในสำนักของเรา เพราะเหตุแห่งอาหาร                           เป็นการดีแล วันนี้เราจักให้ทานอันประเสริฐที่ใครๆ ไม่เคยให้                           แก่ท่าน ท่านผู้ประกอบด้วยศีลคุณ การเบียดเบียนผู้อื่นไม่ควรแก่                           ท่าน ท่านจงไปนำเอาไม้ต่างๆ มาก่อไฟขึ้น เราจักปิ้งตัวของเรา                           ท่านจักได้กินเนื้อที่สุกพราหมณ์รับคำแล้ว มีใจร่าเริง นำเอาไม้ต่างๆ                           มาได้ทำเชิงตะกอนใหญ่ ทำเป็นห้องอันเต็มด้วยถ่านเพลิงก่อไฟ                           โพลงขึ้น ณ ที่นั้นทันทีเหมือนไฟนั้นเป็นกองใหญ่ฉะนั้น เราสลัด                           ตัวอันมีธุลีแล้ว เข้าไปนั่งอยู่ข้างหนึ่งในเมื่อกองไม้อันไฟติดทั่ว                           แล้ว เป็นควันตระลบอยู่ ในกาลนั้น เราโดดลงในท่ามกลางระหว่าง                           เปลวไฟ น้ำเย็นอันผู้ใดผู้หนึ่งดำลงแล้ว ย่อมระงับความกระวน                           กระวายและความร้อน ย่อมให้ความยินดีและปีติ ฉันใดในกาลเมื่อ                           เราเข้าไปยังไฟที่ลุกโพลง ก็ฉันนั้นเหมือนกันความกระวนกระวายทั้งปวง                           ย่อมระงับ ดังดำลงในน้ำเย็นฉะนั้น เราได้ให้แล้วซึ่งกายทั้งสิ้น                           โดยไม่เหลือ คือ ขน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก และชิ้นเนื้อหทัย                           แก่พราหมณ์ ฉะนี้แล.
จบสสปัณฑิตจริยาที่ ๑๐
-----------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น